วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ปวยเล้ง วิธีการปลูก และการรับประทานปวยเล้ง



 ปวยเล้ง (spinacia)

ชื่อวิทยาศาตร์ Spinacia oleracea
ตระกูล Chenopodiaceae
ลักษณะทั่วไป เป็นพืชอายุสั้น ชอบอากาศเย็น หนาว ใช้ส่วนของใบในการบริโภค ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารดังนี้ vitamin A , ascorbic acid, riboflavin, thiamine, iron และ calcium
ฤดูปลูก ฤดูหนาว (ถ้าพื้นที่สูงกว่า 1,200 เมตร สามารถปลูกได้ตลอดปี)

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
          ดิน สามารถปลูกได้ดีในดินร่วนปนทราย สามารถระบายน้ำได้ดี PH ของดินควรอยู่ระหว่าง 6.0-6.5
อุณหภูมิ ต้องการสภาพอากาศที่เย็น อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 15-21 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้ ปวยเล้งจะมีการเจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร ต้องการความชื้นที่พอเหมาะ ถ้าได้รับน้ำมากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคเน่าและเชื้อราเข้าทำลายได้

          ปุ๋ย เนื่องจากปวยเล้งเป็นพืชที่ใช้ใบในการบริโภค ปวยเล้งจึงต้องการปุ๋ยไนโตรเจนสูง ใส่ปุ๋ยเมื่อมีอายุ 15 วันหลังหยอดเมล็ดและ ฉีดพ่นทางใบทุก 5-7 วัน

วิธีการปลูกและดูแลรักษา
1. เตรียมดิน ไถดินตากไว้ 7-10 วัน ใส่ปูนขาว ปุ๋ยคอก ไถพรวนดินให้ละเอียด ขึ้นแปลง กว้าง 80-1 เมตร ปรับหน้าแปลงให้เรียบ
2. การปลูก หว่านโรยห่างๆ หรือขีดร่องขวางแปลงลึกประมาณ 1 ซม. ห่างกัน 15 ซม. หยอดเมล็ดตามร่องห่างกัน 2-3 ซม. กลบเมล็ดด้วยดินละเอียด หรือคลุมด้วยฟาง หญ้าแห้ง หรือวัสดุคลุมแบบอื่นๆ ที่สามารถจัดหาได้ ดูแลรักษาและรดน้ำเช้าเย็น
3. การถอนแยก หลังหยอดเมล็ด 15 วัน ถอนแยกต้นให้ห่างกัน 10 ซม. ถ้าห่างพอดีอาจจจะไม้ต้องถอนแยกก็ได้
4. การเก็บเกี่ยว สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อปวยเล้งมีอายุ 35-45 วัน แล้วแต่พันธุ์หรือฤดูกาล โดยถอนต้นพร้อมรากหรือตัดลึกกว่าผิวดินเล็กน้อย ปล่อยให้ต้นอ่อนตัวในที่ร่ม พืชไม่ควรเปียกเมื่อบรรจุ และไม่ควรล้างน้ำแล้วบรรจุทันทีควรพึ่งไว้ให้หน้ำหยดหมดก่อน
การป้องกันกำจัดโรคและแมลง
โรคและแมลงของปวยเล้งที่สำคัญได้แก่
1. แมลงศัตรูพืช
- หนอนกระทู้ดำ (black cusworm) พบในช่วงฤดูร้อน สังเกตจากลำต้นล้ม เหี่ยว
- เพลี้ยอ่อน พบตลอดปี และพบมากช่วงฤดูร้อน เพลี้ยอ่อนจะอยู่ตามใต้ใบและยอด ทำให้ใบหงิก
- เพลี้ยไฟ พบช่วงฤดูร้อน สังเกตจากใบมีรอยหยาบสีน้ำตาลและหงิก
- หนอนคืบกินใบ พบได้ตลอดปี
2. โรค
-โรคโคนเน่า เกิดจากการทำลายของเชื้อราในดิน สังเกตดูต้นผักจะหักล้มตายเป็นหย่อมๆ บริเวณที่เกิดโคนเน่า
-โรคใบจุด พบในช่วงที่มีอากาศเย็น เกิดจากเชื้อรา Septoria sp. แผลสีน้ำตาลและมีตุ่มเล็กๆสีดำบริเวณแผล
-โรคใบจุดที่เกิดจากเชื้อ Cercospora sp. อาจพบได้ทุกฤดูกาล ลักษณะเป็นแผลสีน้ำตาล ตรงกลางแผลเป็นสีเทา
ระบาดมากในฤดูฝน
-โรคราน้ำค้าง อาการเป็นแผลสีเหลือง หรือสีน้ำตาลบนใบ ใต้ใบมีสปอร์สีขาวหรือเทา
- ใบจุด - ใบจะเป็นจุดสีดำ รอบๆ แผลจะเป็นสีเหลือง เมื่อเชื้อแพร่ระบาดมากขึ้น แผลจะขยาย
( Leaf spot ) ติดกัน เกิดใบไหม้แห้งกรอบ
- ราน้ำค้าง - บนใบจะเป็นพื้นสีเหลือง ใต้ใบจะเป็นเส้นใยสีขาวเป็นกระจุก
-โรคเน่าเละ - เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เนื้อเยื่อพืชจะยุบตัวลง แผลจะมีสีน้ำตาลอ่อน เปียกและชื้นเป็น
( Soft rot ) เมือกไหลเยิ้ม มีกลิ่นเหม็น
 -โรคโคนเน่า หรือ - จะพบมากในช่วงเริ่มแตกกอเป็นต้นไป ใบที่อยู่ล่างๆ จะเหลืองและเหี่ยว ที่โคนต้นจะ
โรคราเมล็ดผักกาด เป็นรอยสีน้ำตาล มีเส้นใยสีขาวอยู่รอบ ๆ และจะพบเมล็ดสีน้ำตาลคล้ายเมล็ด
( Sclerotinia rot ) ผักกาดติดอยู่บริเวณโคนต้น
หากพบใช้สารสกัด จุลินทรีย์พวกบาซิลัส ซับทิลิส และพวกไตรโคเดอม่า ฉีดพ่นและรดโคนต้น หรืออาจใช้น้ำหมักชีวภาพตามสูตรต่างๆ ได้ ตามความเหมาะสมของพื้นที่

3. ไส้เดือนฝอย พบได้ทั้งปีในบางพื้นที่ สังเกตุจากต้นแคระแกร็นและมีปมที่ราก


เคล็ดลับในการปลูก
การเลือกใช้เมล็ดที่มีความงอกดี และเหมาะสมกับพื้นที่


ผักปวยเล้ง (Spinach)


                   ผักปวยเล้งหรือภาษาจีนกลางแมนดารินเรียกว่า ปอไช่ไม่ใช่ผักพื้นบ้านของบ้านเมืองเรา ตามการคาดเดาน่าจะเป็นผักมาจากเมืองจีน มาพร้อมกับการอพยพของชาวจีนในสมัยก่อนๆ ตอนนี้จึงเป็นผักที่หากินได้ง่ายในตลาดทุกแห่งของบ้านเรา เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารมากมาย สามารถเป็นผักที่ร่วมเป็นเมนูบนโต๊ะอาหารของร้านอาหารดังๆ ทั้งหลายในเมืองไทยได้สบายๆ
                   ปวยเล้งเป็นผักที่มีรสหวาน ฤทธิ์เย็น อุดมไปด้วย โปรตีน น้ำตาล เบต้าแคโรทีน วิตามิน เอ บี ซี ดี เค เหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมคนีเซียม กรดนิโคติน โฟลิค เป็นต้น
                   เป็นเพราะมีสารอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะมีธาตุเหล็กกระมังจึงมีสรรพคุณในการบำรุงเลือด ช่วยย่อย ช่วยชุ่มชื้น ช่วยเสริมความงาม สร้างความสมบูรณ์ของเลือดพร้อมทั้งกระจายเลือดให้แก่อวัยวะทั้ง 5 อันได้แก่ ตับ หัวใจ ม้าม ปอดและไต และช่วยดับกระหาย ต่อโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน วัณโรคปอด กระเพาะลำไส้เสียความสมดุล ท้องผูก ริดสีดวงทวาร มีส่วนช่วยในการบรรเทา ช่วยหล่อลื่นลำไส้ ดับกระหายและช่วยย่อยได้ดี
                   นอกจากนี้เนื่องจากมีเบต้าแคโรทีนสูงมากจึงช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย กินผักปวยเล้งเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทั้งยังทำให้ยืดเวลาในการเป็นโรคต้อกระจกด้วย ในผักปวยเล้งมีโฟลิค จึงเป็นผักที่เหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์ ผักปวยเล้งทำให้ผ่อนคลาย จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคจิตประสาทด้วย ปวยเล้งมีเหล็ก สามารถช่วยบำรุงเลือด ให้ใบหน้ามีสีเลือดฝาด โดยนำผักปวยเล้งประมาณ 2 ขีดมาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อนๆ ลวกในน้ำเดือดที่ใส่เกลือเล็กน้อย ตักขึ้น สะเด็ดน้ำหรือจะราดน้ำเย็นก็ได้ ใส่น้ำมันงา ซีอิ๊วขาว ชิมได้รสพอดี โรยด้วยงาขาวคั่ว 4 ช้อนชา
                   ปวยเล้งต้มตับหมู ปวยเล้ง 3 ขีด ล้างหั่นท่อน ตับหมู 2 ขีด ล้างหั่นชิ้นบางๆ ขิงอ่อน ครึ่งแง่ง หั่นฝอย เกลือ ต้มน้ำให้เดือด ใส่ขิงและตับหมู จากนั้นตามด้วยผักปวยเล้ง น้ำเดือดแล้วใส่เกลือปรุงรสตามต้องการ จะช่วยผลิตเลือด บำรุงเลือด

                   เนื่องจากผักปวยเล้งมีกรดออกซาลิกมาก เวลาปรุงอาหารต้องทำให้สุกเต็มที่ กรดออกซาลิกจึงจะหายไป เนื่องจากมีกรดออกซาลิกนี่แหละ พอไปรวมกับแคลเซียมจะเกิดเป็นแคลเซียมออกซาเลต ถ้าสิ่งนี้สะสมในตัวมากเกินไป จะทำให้เกิดนิ่วได้ แต่ก็อย่างที่กล่าวมาว่าถ้าทำให้สุกเต็มที่กรดออกซาลิกจะน้อยลงได้ จึงไม่ต้องกังวลมาก
                   แต่ก็อย่างที่ว่าต้องห้ามกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียมมาก จะทำให้แคลเซี่ยมตกตะกอน ผู้ป่วยที่กระดูกหัก สตรีวัยทองควรกินแต่น้อย


สนใจเมล็ดพันธุ์ติดต่อได้ที่
            Tel.  089-583-0131 (1-2 call)
                   082-935-3225 (True)
             https://khawbanwhandee.Lnwshop.com/            
             https://www.facebook.com/khawbanwhandee



แหล่งที่มาของข้อมูล :


ฐานเรียนรู้และองค์ความรู้ ทางการเกษตร สำนักวิจัยฯ
มหาวิทยาลัยแม่โจ้

คมชัดลึกออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น: